"ในสมัยนี้โลกฟุตบอลมันยังมีซีอีโอบางรายที่เล่นควบงานบริหารสโมสรไปพร้อมๆ กับการทำธุรกิจด้านซื้อขาย รวมถึงเจรจากับเอเยนต์ของนักเตะ ซึ่งผมคิดว่าสโมสรฟุตบอลในยุคนี้มันไม่ควรจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น มันมีเส้นกั้นบางๆ ระหว่างการเข้ามามีส่วนร่วมนิดหน่อยกับการก้าวก่าย"
นั่นคือคำพูดส่วนหนึ่งของ ปีเตอร์ มัวร์ ประธานบริหาร ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่บอกกับ นิวยอร์ค ไทม์ส สื่อชื่อดังของสหรัฐอเมริกา โดยเขาบอกว่าการไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องการเสริมทัพคือเคล็ดลับที่ทำให้ "หงส์แดง" ภายใต้การบริหารทีมของเขากำลังทำผลงานได้ดี เพราะว่ามันไม่เหมาะสมที่เขาจะไปยุ่งเรื่องการเสริมทัพ เนื่องจากตัวเองไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้ และการปล่อยให้คนที่เก่งๆ ในด้านนั้นทำงานอย่างเต็มที่น่าจะส่งผลดีต่อทีมมากกว่า
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมามันมีผู้บริหารของสโมสรฟุตบอลหลายคนที่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องการเสริมทัพ เพราะชอบนักเตะคนนั้นเป็นการส่วนตัว, คิดว่าคนนั้นจะทำให้ทีมเก่งขึ้นได้ ฯลฯ โดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของคนเป็นผู้จัดการทีมเลย ทั้งที่อนาคตของทีม และของกุนซือต้องขึ้นอยู่กับนักเตะในทีมแท้ๆ
เอ็ด วู้ดเวิร์ด รองประธานบริหารของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคนสนิทของตระกูลเกลเซอร์ ครอบครัวนักธุรกิจชาวอเมริกัน คือหนึ่งในคนที่ถูกมองว่าชอบเข้ามายุ่งเรื่องภายในทีมบ่อยๆ ซึ่งมันก็ช่างพอเหมาะพอเจาะเหลือเกินที่บทสัมภาษณ์ด้านต้นของ มัวร์ ถูกเผยแพร่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการที่ แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ สื่อดังประจำเมืองแมนเชสเตอร์ แฉว่าเมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2018 วู้ดเวิร์ด ผลักดันให้ทีมเซ็นสัญญากับ ราฟาแอล วาราน กองหลัง เรอัล มาดริด และ มาร์โก แวร์รัตติ กองกลาง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ให้ได้
แน่นอน ในด้านฝีเท้าแล้วนั้นทั้งคู่ถือเป็นนักเตะชั้นยอดแบบไร้ข้อกังขา วาราน ร่วมมือกับ เซร์คิโอ รามอส ในการเป็นปราการเหล็กให้กับ เรอัล ตลอดช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จมากมายก่ายกอง ขณะที่ แวร์รัตติ ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นกองกลางระดับ 5 ดาวมานานแล้ว และทุกวันนี้หลายคนก็ยังนึกเสียดายที่นักเตะระดับเขายังปักหลักอยู่กับ "เปแอสเช" ทั้งที่เขาน่าจะไปหาความสำเร็จในรายการใหญ่ๆ กับทีมที่ใหญ่กว่านี้ได้ ซึ่งถ้าหากได้ทั้งสองคนมาร่วมทีมมันก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด แข็งแกร่งขึ้นเยอะ
อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับแผนงานตามจีบ 2 แข้งดังกล่าวของ เอ็ด วู้ดเวิร์ด
กุนซือชาวโปรตุกีสมองว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะสามารถดึง วาราน และ แวร์รัตติ มาร่วมทีมในตอนนั้นได้ นั่นหมายความว่าการใช้เวลาไปกับการล่าทั้งคู่มันมีโอกาสสูงที่จะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และทีมควรจะไปให้ความสำคัญในด้านอื่นมากกว่า นอกจากประเด็นที่ วาราน กับ แวร์รัตติ มีโอกาสย้ายทีมยากจน แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ควรจะไปเสียเวลาล่าตัวพวกเขาแล้วนั้น ที่จริงมันก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่พอจะแสดงให้เห็นว่า วู้ดเวิร์ด ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับการล่าลายเซ็นทั้งคู่ตั้งแต่แรกด้วย
ถึงแม้ว่า แวร์รัตติ จะมีฝีเท้าดี และการยืนคู่กับ ปอล ป็อกบา ก็น่าจะถือเป็นคู่กองกลางในฝันของ "เร้ด อาร์มี่ หลายคน" แต่ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2018 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังมี อันเดร เอร์เรร่า ให้เลือกใช้งานอยู่ แน่นอน เรื่องฝีเท้าโดยรวมแล้ว เอร์เรร่า สู้กับ แวร์รัตติ ไม่ได้ แต่ตอนนั้นดาวเตะชาวสแปนิชก็ยังอยู่ในช่วงที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้ในระดับหนึ่ง และที่จริงตอนนั้น วู้ดเวิร์ด จะพยายามไปโน้มน้าวใจให้ เอร์เรร่า ต่อสัญญาก็ยังได้ แต่เขากลับมองข้ามถึงเรื่องนั้น
ขณะที่ วาราน ถือเป็นกองหลังฝีเท้าดีคนหนึ่งก็จริง และมันก็ตรงกับความต้องการของ มูรินโญ่ ที่ต้องการให้ทีมซื้อกองหลังคนใหม่มาร่วมทัพเพื่อแก้ไขปัญหาเกมรับ แต่ดาวเตะชาวฝรั่งเศสไม่ได้อยู่ในข่ายที่เขาต้องการ โดยคนที่เขาอยากได้มีอย่างเช่น แฮร์รี่ แม็กไกวร์, คาลิดู คูลิบาลี่, มิลาน สคริเนียร์, ดีเอโก้ โกดิน และ เยโรม บัวเต็ง เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น พอแห้วจาก วาราน แล้วนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้เดินเครื่องล่ากองหลังคนไหนอีกเลยทั้งที่พวกเขามีเงินมากพอที่จะไปล่าคนอื่น โดยที่จริงเคยมีข่าวว่าในช่วงซัมเมอร์ของปี 2018 พวกเขาพร้อมให้เงินถึง 100 ล้านปอนด์เพื่อเป็นค่าตัวของ วาราน ขณะที่ แม็กไกวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ มูรินโญ่ สามารถย้ายทีมในตอนนั้นได้ด้วยค่าตัวที่ 75 ล้านปอนด์
ที่เหมือนเป็นตลกร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือสุดท้ายแล้วในช่วงซัมเมอร์ของปีนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ต้องซื้อ แม็กไกวร์ อยู่ดี แถมยังจ่ายไป 80 ล้านปอนด์อีกต่างหาก ว่ากันว่าหลังจากผ่านช่วงซัมเมอร์ปี 2018 ไปแล้วนั้น เอ็ด วู้ดเวิร์ด ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเสริมทัพอีก แต่มันก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ตามมาจากเรื่องนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น