คดีที่ ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดนทาง นิว บาลานซ์ บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬาสัญชาติอเมริกันยื่นเรื่องฟ้องร้อง จากกรณีสาเหตุที่ ลิเวอร์พูล ต้องการเซ็นสัญญากับ ไนกี้ มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ เพราะพวกเขามองว่าการทำอย่างนั้นจะเป็นผลดีต่อการเงินของสโมสรมากกว่า จากการที่ ไนกี้ เป็นแบรนด์ระดับ 5 ดาว ที่มีร้านค้าอยู่หลายร้านทั่วโลก จนจะทำให้ทีมขายชุดแข่งได้แบบเป็นกอบเป็นกำ โดยนอกจาก ไนกี้ จะจ่ายให้ ลิเวอร์พูล ในเบื้องต้นฤดูกาลละ 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,140 ล้านบาท) แล้วนั้น มันยังมีเงื่อนไขต่างๆ ที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล ได้รับเงินมากกว่านั้นด้วย อย่างเช่นส่วนแบ่งจากการขายชุดแข่ง 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น
ขณะที่ นิว บาลานซ์ ซึ่งเหลือสัญญากับ ลิเวอร์พูล ถึงช่วงซัมเมอร์ ปีหน้านั้น อ้างว่าในสัญญามันระบุเอาไว้ว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะให้ข้อเสนอเท่ากับคู่แข่งที่ต้องการพราก ลิเวอร์พูล ไปจากพวกเขา ไม่ว่าข้อเสนอนั้นจะเป็นในรูปแบบเงิน หรือเงื่อนไขอื่นๆ ก็ตาม เพื่อที่พวกเขาจะได้ยังเป็นคนทำชุดแข่งให้ ลิเวอร์พูล ต่อไป ซึ่งทาง ลิเวอร์พูล เอ็คโค่ สื่อท้องถิ่นประจำเมือง ลิเวอร์พูล ได้บอกเล่าถึงปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล อยากเซ็นสัญญากับ ไนกี้ รวมถึงการชี้แจงของทนายจากทั้งสองฝั่ง ก่อนที่การตัดสินจะมีขึ้น ลองไปดูกันดีกว่าว่ารายละเอียดเป็นยังไง
ปัจจัยหลักที่ทำให้ ลิเวอร์พูล อยากเซ็นสัญญากับ ไนกี้
อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่า ไนกี้ เสนอที่จะจ่ายเงินให้ ลิเวอร์พูล เป็นจำนวน 30 ล้านปอนด์ต่อซีซั่น ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ใช่ตัวเลขที่เยอะเท่าไหร่เมื่อเทียบกับรายอื่นๆ อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมารับเงินจาก อาดิดาส เป็นจำนวนฤดูกาลละ 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,850 ล้านบาท) เป็นต้น แต่เงื่อนไขส่วนแบ่ง 20 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นสิ่งที่จะส่งผลดีกับ ลิเวอร์พูล มากๆ และทำให้จำนวนเงินที่พวกเขาจะได้จาก ไนกี้ สูงขึ้นไปอีก
และยังมีการระบุว่า ไนกี้ ยอมที่จะวางขายชุดแข่งของ ลิเวอร์พูล ในร้านค้าของพวกเขาอย่างน้อย 6,000 สาขาทั่วโลก แถมยังจะเอาคนดังระดับโลก อย่างเช่น เลอบรอน เจมส์, เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ และ เดร็ค มาช่วยโปรโมตด้วย ซึ่งการที่ชุดแข่งของพวกเขาจะได้ขายในหลายร้าน รวมถึงได้รับการโปรโมตจากคนดังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ ลิเวอร์พูล อยากเซ็นสัญญากับ ไนกี้ เพราะผู้บริหารของ ลิเวอร์พูล มองว่าถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะขายชุดแข่งได้บานเบอะ จนได้รับเงินก้อนโตจากเงื่อนไขส่วนแบ่ง 20 เปอร์เซ็นต์
การชี้แจงจาก นิว บาลานซ์
แดเนี่ยล โอ๊ดเคิร์ค ทนายความของฝั่ง นิว บาลานซ์ บอกว่าพวกเขาสามารถวางขายชุดแข่งของ ลิเวอร์พูล ให้ถึงหลักอย่างน้อย 6,000 สาขา เหมือนกับเงื่อนไขของ ไนกี้ ได้แน่ เพราะตอนนี้พวกเขาก็มีร้านค้า 40,000 สาขาทั่วโลก และพวกเขาก็ส่ง “สินค้าลิขสิทธิ์” ของฝั่ง ลิเวอร์พูล ไปให้ร้านค้าของพวกเขามากถึง 3,900 สาขาแล้วด้วย (โปรดจำคำว่า “สินค้าลิขสิทธิ์” เอาไว้ให้ดี เพราะมันจะมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในประเด็นที่สำคัญ)
ส่วนในเงื่อนไขของ ไนกี้ ที่บอกว่าจะเอาคนดังระดับโลกอย่างเช่น เลอบรอน เจมส์, เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ และ เดร็ค มาช่วยโปรโมตชุดแข่งให้ ลิเวอร์พูล นั้น นิว บาลานซฺ บอกว่าเงื่อนไขในสัญญามันไม่ได้หมายความว่า ไนกี้ จะเอาทั้ง 3 คนที่ว่ามาโปรโมตชัวร์ๆ แค่บอกว่า “เอาคนระดับนั้น” มาช่วยโปรโมตชุดแข่งเท่านั้น หรือให้พูดอีกแบบก็คือท้ายที่สุดแล้วทั้ง 3 คนที่ว่าอาจจะไม่ได้มาโปรโมตชุดแข่งของ ลิเวอร์พูล จริงๆ ก็ได้
ด้วยเหตุนี้ นิว บาลานซ์ จึงมองว่าเงื่อนไข “คนดังระดับนั้น” มันเป็นเพียงแนวคิดที่คลุมเครือ, ไม่ใช่เงื่อนไขที่สามารถวัดเป็นรูปธรรมได้ และไม่ควรถูกเอามาพิจารณาในคดีนี้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นิว บาลานซ์ คิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้เงื่อนไขในด้านเอาคนดังมาช่วยโปรโมตเหมือนอย่าง ไนกี้ ก็ได้ แค่ให้ข้อเสนอด้านเงิน และสัญญาการวางขายชุดแข่งในหลายร้านเท่ากับของ ไนกี้ ก็น่าจะเพียงพอต่อการทำให้พวกเขาได้สิทธิ์เป็นคนทำชุดแข่งให้ ลิเวอร์พูล ต่อไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
การชี้แจงจาก ลิเวอร์พูล
กาย มอร์พุสส์ ทนายความของฝั่ง ลิเวอร์พูล บอกว่าถึงแม้ นิว บาลานซ์ จะให้เหตุผลทุกอย่างไว้สวยหรูแค่ไหน แต่ที่ผ่านมา นิว บาลานซ์ ก็ทำผิดพลาดหลายอย่างจนแทบจะถึงขั้นที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ อย่างเช่นเคยมีปัญหาเรื่องตัวอย่างของชุดแข่งที่จะวางขายในประเทศบราซิล รวมถึงการที่ นิว บาลานซ์ นับจำนวนร้านในตลาดย่านเอเชียแปซิฟิคผิด เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น เคนนี่ แม็คคัลลั่ม ผู้จัดการด้านแผนกฟุตบอลทั่วโลกของ นิว บาลานซ์ ยังเคยแสดงความไม่จริงใจกับ ลิเวอร์พูล ด้วยการแอบส่งอีเมลหาเพื่อนร่วมงานว่าห้ามบอก ลิเวอร์พูล เด็ดขาดว่าตัวอย่างของชุดแข่งฤดูกาล 2020-21 ที่ออกแบบเอาไว้ล่วงหน้านั้น มันยังไม่ได้มาตรฐานดีพอ ขณะที่ แคทเธอรีน ฮาวเวิร์ด นักวิเคราะห์ด้านการเงินของ นิว บาลานซ์ ยังแอบซุบซิบกับ คริส เดวิส รองประธานของ นิว บาลานซ์ ด้วยว่าในอนาคตจำนวนร้านค้าของ นิว บาลานซ์ ที่จะวางขายชุดแข่งของ ลิเวอร์พูล จะลดลงแน่นอน
นอกจากนี้ มอร์พุสส์ ยังบอกด้วยว่าในร้านค้า 250 สาขาที่ประเทศญี่ปุ่นของ นิว บาลานซ์ นั้น มันอาจจะไม่ได้วางขายชุดแข่งของ ลิเวอร์พูล แต่วางขายเพียงรองเท้าที่แปะโลโก้ของ ลิเวอร์พูล เอาไว้เท่านั้น ซึ่งนี่ถือเป็นการใช้ลูกเล่นของ นิว บาลานซ์ เพราะในสัญญามันระบุเพียงว่าพวกเขาจะวางขาย “สินค้าลิขสิทธิ์” เท่านั้น ไม่ได้ระบุแบบเฉพาะเจาะจงว่าจะ “วางขาย” ชุดแข่ง และไอ้เจ้า “สินค้าลิขสิทธิ์” ที่ว่าก็มีหลายอย่าง มอร์พุสส์ ยอมรับว่าในกรณีนี้มันไม่ถือว่า นิว บาลานซ์ ทำผิดสัญญา เพราะแค่ขายของที่เป็นสินค้าลิขสิทธิ์ก็ถือว่าเข้าข่ายแล้ว แต่ก็บอกว่า นิว บาลานซ์ ควรจะดำเนินการด้วยความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เอาแต่เห็นเฉพาะผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักแบบนี้ ส่วนข้ออ้างของ นิว บาลานซ์ ที่บอกว่าเงื่อนไข “คนดังระดับนั้น” มันวัดเป็นรูปธรรมไม่ได้นั้น มอร์พุสส์ ยืนกรานว่ามันวัดเป็นรูปธรรมได้ เพียงแต่ต้องทำในแนวทางที่ต่างออกไป
ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น
แน่นอนว่าถ้าเกิดศาลตัดสินให้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายชนะ พวกเขาก็จะไปสวมกอดกับ ไนกี้ ได้ตามใจชอบ ในทางกลับกัน ถ้าเกิด นิว บาลานซ์ ประสบความสำเร็จในการฟ้องร้องครั้งนี้ สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องเจอก็ไม่ใช่การจ่ายค่าเสียหายแล้วค่อยไปเซ็นสัญญากับ ไนกี้ ได้ เหมือนในคดีทั่วไป แต่จะเป็นการที่ต้องให้ นิว บาลานซ์ เป็นพันธมิตรด้านชุดแข่งของพวกเขาต่อไป
จริงอยู่ว่าฝ่ายที่แพ้มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ได้ต่อ แต่พวกเขาก็อาจจะไม่ได้รับสิทธิ์นั้นแบบอัตโนมัติ และต้องไปดำเนินการเอาเองจนอาจจะทำให้วุ่นวายในระดับหนึ่ง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็จะทำให้ในวันศุกร์นี้เรื่องราวระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ นิว บาลานซ์ ยังไม่ถึงตอนอวสานตามไปด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น